หม่าล่า ฟีเวอร์ ความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
กดเพื่อเลือกอ่าน
เชื่อได้เลยว่าแทบทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า ‘หม่าล่า’ มาก่อนอย่างแน่นอน เนื่องจากในปัจจุบัน หม่าล่าเป็นเมนูอาหารที่แพร่หลายเป็นอย่างมาก แต่กระนั้น หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าหม่าล่าคืออะไรและมีต้นกำเนินจากที่ไหน โดยในบทความนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับหม่าล่ากันว่าคืออะไร แล้วทำไมถึงเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย จนกลายเป็นยุคหม่าล่าฟีเวอร์อย่างทุกวันนี้
ทำความรู้จัก หม่าล่า
หม่าล่า อาหารยอดนิยมของสังคมไทยในปัจจุบัน โดยมีที่มาจากมณฑลเสฉวนของประเทศจีน เดิมทีแล้ว หม่าล่าคือพริกที่มีรสชาติเผ็ดและชาเป็นหลัก ซึ่งใช้เป็นวัสถุดิบปรุงเนื้อสัตว์หรือผักเสียบไม้ แต่ต่อมา มีการนำพริกหม่าล่าไปผสมและปรุงกับอาหารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นซุปหม้อไฟ หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหมือนในปัจจุบัน
โดยคำว่า ‘หม่าล่า’ เป็นการประสมกันของอักษรจีนสองตัว ประกอบด้วย ‘หม่า’ แปลว่าเผ็ด และ ‘ล่า’ แปลว่าชา ซึ่งหมายถึงความรู้สึกเผ็ดและชาหลังจากกินหม่าล่า
ประโยชน์ของหม่าล่า
นอกจากความร้อนแบบเผ็ดชาของหม่าล่าแล้ว หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าหม่าล่ามีประโยชน์ไม่น้อยต่อร่างกายอีกด้วย เพราะส่วนผสมของหม่าล่าส่วนใหญ่แล้วเป็นพืชหรือสมุนไพรที่มีสรรพคุณดีต่อสุขภาพ โดยประโยชน์ของหม่าล่า ประกอบด้วย
- กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตได้ดี
- ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- บรรเทาอาการปวด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหม่าล่าจะมีประโยชน์มากมายแล้ว แต่ก็ควรทานอย่างพอดี ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป อีกทั้งการซดน้ำซุปหม่าล่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากตัวพริกหม่าล่าที่เผ็ดมาก ๆ แล้ว ในซุปหม่าล่ายังมีน้ำมันเป็นส่วนผสมอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ร่างกายเกิดไขมันสะสมที่อาจก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้
ส่วนผสมของหม่าล่า
ตามปกติแต่ละบ้านของประเทศจีนล้วนแล้วแต่มีวิธีการและสูตรการทำหม่าล่าเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไปตามความชอบ แต่กระนั้นแล้ว วิธีการหลัก ๆ ที่ทำเหมือนกันคือ การนำสมุนไพรหรือพริกต่าง ๆ ไปเคี่ยวกับไขกระดูกของวัวและน้ำมันพืชเป็นเวลาหลายชั่วโมง เมื่อได้ที่แล้วก็จะนำไปบรรจุขวดโหล เพื่อเก็บไว้ใช้เป็นเครื่องปรุงอาหารต่อไป ซึ่งส่วนผสมหลัก ๆ ของหม่าล่าประกอบไปด้วย
- พริกไทยเสฉวน
- พริกแห้ง
- พริกป่น
- ซอสโต้วป้าน (ซอสถั่วคล้ายกับน้ำพริกเผาของไทย)
- กานพลู
- กระเทียม
- โป๊ยกั๊ก
- กระวานดำ
- ยี่หร่า
- ขิง
- อบเชย
- เกลือ
- น้ำตาล
นอกจากนี้ สามารถเพิ่มสมุนไพรหรือเครื่องเทศอื่น ๆ เข้าไปด้วยได้ ไม่ว่าจะเป็น ขิงทราย แปะจี้ หรือเมล็ดงาดำ เพื่อเพิ่มรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่างกันได้ตามความชอบ
‘หม่าล่าฟีเวอร์’ มีที่มาจากอะไร?
หม่าล่าเริ่มได้รับความนิยมจากภาคเหนือของประเทศไทย ก่อนจะค่อย ๆ ขยายเป็นวงกว้างครอบคลุมทั่วประเทศอย่างในปัจจุบัน แต่กระนั้น หากพูดถึงที่มาของหม่าล่าในประเทศไทย คงต้องย้อนกลับไปราว ๆ 5 – 6 ปีที่แล้ว โดยผู้ที่นำหม่าล่าเข้ามาในประเทศไทยเป็นเจ้าแรกอย่างเป็นทางการคือ ‘ไหตี้เลา’ ร้านหม่าล่าหม้อไฟเจ้าดังอันดับหนึ่งจากประเทศจีน
ด้วยรสชาติแปลกใหม่จัดจ้านที่มีความเผ็ดร้อน รวมกับความชาของหม่าล่า ส่งผลให้คนไทยจำนวนไม่น้อยชื่นชอบรสชาติเผ็ดชาของหม่าล่านี้ จึงไม่แปลกเลยที่หม่าล่าจะกลายเป็นที่นิยมอย่างมากถึงปัจจุบัน จนกลายมาเป็นนิยามของคำว่า ‘หม่าล่าฟีเวอร์’
บทสรุป
การรับประทานหม่าล่าได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ด้วยรสชาติที่จัดจ้านและเป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากสำหรับคนไทย แต่กระนั้น การรับประทานหม่าล่าควรอยู่บนความพอดี เพื่อหลีกเลี่ยงโรคและข้อเสียต่าง ๆ ที่อาจตามมาจากการรับประทานหม่าล่าที่มากเกินไป
สำหรับใครที่ต้องการรับประทานหม้อไฟหม่าล่ากรุงเทพที่รับประกันเรื่องรสชาติและวัตถุดิบคุณภาพสูง Shu Daxia ตอบโจทย์ความต้องการของท่านอย่างแน่นอน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ หรือจองคิวได้ที่เบอร์ 094-491-3900 และช่องทางการติดต่ออื่น ๆ ของ Shu Daxia